The Last Castle

By Patipat Janthong

กว่าหนึ่งปีที่ชีวิตเปลี่ยนผ่าน จากบ้านไม้ร่มรื่นริมกำแพง “ป้อมมหากาฬ” ที่ตั้งของชุมชนชานเมืองพระนครแห่งสุดท้าย หลายชีวิตกระจัดกระจายหลังการเข้ามาพัฒนาของรัฐ พื้นที่ชุมชนเก่าแก่ถูกแทนที่ด้วยสวนสาธารณะมูลค่า 69 ล้านบาท“ปีกว่าๆที่ผ่านมาบาดแผลยังคงไม่หาย แต่เราพยายามพูดปลอบใจว่าชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อ” พี่กบ ธวัชชัย วรมหาคุณอดีตประธานชุมชนบอกเล่าความรู้สึกหลังจำยอมต้องย้ายออกจากป้อมมหากาฬพี่กบเกิดในครอบครัวนักดนตรี มีต้นตระกูลเป็นครูวงปี่พาทย์ ตั้งรกรากในพื้นที่มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เช่นเดียวกับพื้นที่หน้าบ้านที่เป็นที่ตั้งของวิกลิเกพระยาเพชรปาณี ลิเกโบราณของกรุงรัตนโกสินทร์ก่อนพื้นที่ดังกล่าวจะถูกรื้อปรับเป็นสวนสาธารณะคงเหลือไว้เพียงแผ่นป้ายบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์

ราวตากผ้ารวมของชุมชน ซึ่งเคยใช้อธิบายเรื่องการอยู่ร่วมกัน เนื่องจากผ้าของทุกคนสามารถนำมาตากไว้ในพื้นที่โดยไม่เคยหาย ถูกแทนที่ด้วยสวนสาธารณะ เช่นเดียวกับภูมิปัญญาการทำกรงนกเขาชวา แหล่งจำหน่ายพลุไฟ บ้านไม้โบราณ ที่หายไปพร้อมกับวิถีชีวิตของผู้คน

หลังจากการไล่รื้อ ชาวบ้านชุดสุดท้ายบางส่วนย้ายไปเช่าห้องอาศัยอยู่ในชุมชนกัลยาณมิตร ย่านเตาปูน โดยได้รับความช่วยเหลือจากเครือข่ายชุมชนที่ร่วมขับเคลื่อนกระบวนการต่อสู้มาด้วยกันจากบ้านไม้สงบเงียบหลังกำแพงมาอยู่ในตึกที่แดดส่องถึงตลอดวันหลายคนต้องปรับตัวโดยเฉพาะผู้สูงอายุ

นอกจากอากาศที่ร้อนกว่าเดิม ป้าเฮง สมพร อาปะนนท์ วัย 77 ปี ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการต้องเดินทางไปหาหมอที่ไกลกว่าเดิม“แต่ก่อนไปหาหมอโรงพยาบาลกลาง 60 บาท ย้ายมาอยู่นี่ ไป-กลับ 300”

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่ากทม. เข้าดูการรื้อย้ายชุมชนป้อมมหากาฬ หลังกทม.มีความพยายามมาตลอด 26 ปี ก่อนชาวบ้านชุดสุดท้ายจะถูกผลักดันออกจากพื้นที่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2561
54 ปี หลังสุภาณัช ประจวบสุข อาศัยอยู่ภายในป้อมมหากาฬ เธออยู่ที่นี่เป็นคืนสุดท้าย ก่อนย้ายไปยังที่อยู่ใหม่ย่านเตาปูนในวันรุ่งขึ้น

เช่นเดียวกับโอม ด.ช.ชวินธร ทูบทอง จากเดิมที่ใช้เวลา 10 นาทีเดินทางจากบ้านไปยังโรงเรียน หลังจากย้ายมายังที่อยู่ใหม่เขาต้องตื่นเตรียมตัวตั้งแต่ตี 4 เพื่อไปยังโรงเรียนวัดราชบพิธ เนื่องจากเส้นทางที่ไกลขึ้นและการจราจรที่ติดขัด “เราต้องดิ้นรน ขวนขวาย หาโอกาสของเราต่อ ไม่เคยมีการติดต่อมาสอบถามคุณอยู่ได้ไหม มีปัญหาอะไร หรือแม้กระทั่งคนรับปากเราที่เข้ามารับช่วงต่อของอำนาจ เราได้คำตอบว่าไม่มีใคร นอกเหนือจากการดิ้นรนของตัวพวกเราเอง”

ด.ช.ชวินธร ทูบทอง ซ้อนท้ายจักรยานยนต์เดินทางไปโรงเรียนวัดราชบพิธ เขาต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด หลังย้ายไปยังที่อยู่ใหม่ซึ่งไกลจากโรงเรียนกว่าเดิม

หลังการย้ายออกจากป้อมมหากาฬ มีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.) เป็นหน่วยงานรัฐเพียงหน่วยงานเดียวที่เข้ามาช่วยเหลือคนในชุมชนด้วยการให้แหล่งเงินกู้และออกแบบแปลนบ้านซึ่งชาวชุมชนป้อมมหากาฬ จำนวน 5 ครอบครัว รวมกลุ่มซื้อที่ดินย่านพุทธมณฑลสาย 2 ปลูกบ้านบนเนื้อที่ 106 ตารางวา โดยใช้วัสดุจากบ้านไม้เดิมที่รื้อเก็บไว้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและต้องการคงลักษณะบ้านไม้เหมือนที่เคยอาศัยอยู่ในอดีตตามความตั้งใจ  โดยทั้งหมดต้องเป็นหนี้ระยะยาวครัวเรือนละหลายแสนบาทสำหรับซื้อที่ดินและสร้างบ้านขณะที่ชาวชุมชนป้อมมหากาฬกระจัดกระจายและพยายามหาทางออกของตัวเอง

แผนแม่บทอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งมาพร้อมแนวคิดพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแลนด์มาร์กด้านการท่องเที่ยวก็อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาล  แผนดังกล่าวมีแนวคิดปรับปรุงภูมิทัศน์ทาสีตัวอาคารให้มีลักษณะสีเหมือนกัน  โดยอาศัยต้นแบบของถนนฌ็องเซลิเซ่ประเทศฝรั่งเศสแน่นอนไม่มีใครหนีพ้นการพัฒนาและความเปลี่ยนแปลง วัด วัง อาคารเก่า เป็นสิ่งมีคุณค่าเช่นเดียวกับชีวิตของผู้คนที่อาศัยโดยรอบ พวกเขาที่มีเลือด มีเนื้อ และมีส่วนขับเคลื่อนให้เมืองมีชีวิต

เจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.)คำนวนเงินออมที่ชาวบ้านต้องจ่ายแต่ละเดือนในการกู้เงินสร้างที่อยู่แห่งใหม่ย่านพุทธมณฑลสาย 2
ขณะพื้นที่ดังกล่าวมีการถมดินเตรียมพื้นที่ รอการอนุมัติเงินกู้ซึ่งชาวบ้านต้องเป็นหนี้ระยะยาวครัวเรือนละหลายแสนบาท
สภาพ 1 ปีภายในพื้นที่ป้อมมหากาฬ หลังชุมชนเก่าถูกแทนที่ด้วยสวนสาธารณะมูลค่า 69 ล้านบาท

“40-50 ปีที่ผ่านมา ประชาชนเป็นฝ่ายแพ้ให้กับอำนาจรัฐมาโดยตลอด และไม่รู้ว่าการดำเนินการเช่นนี้มันจะอยู่คู่กับการกระทำของรัฐที่มีผลต่อเนื่องกับประชาชนหรือชุมชนยาวนานแค่ไหน ถ้าระบอบประชาธิปไตยจริงคุณต้องเคารพในเรื่องของสิทธิ คุณต้องฟังเสียงประชาชน เปิดโอกาสให้เข้ามาร่วมบูรณาการ แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่แค่หาย แต่มันตายไปจากสังคม คุณเคยไปศึกษาไหมว่าทุกครั้งที่เกิดการกระทำ มันเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นี่คือประสบการณ์ชีวิตที่สำคัญ และภาวนาว่าอย่าให้มันมีครั้งต่อไป ไม่งั้นลูกหลานเราจะอยู่ยากขึ้น”ธวัชชัย วรมหาคุณ ชาวบ้านชุมชนป้อมมหากาฬ